อ่านชื่อเรื่องแล้วอย่าเพิ่งตกอกตกใจหรือคิดไปอื่นไกล
และอย่าหาว่าข้าพเจ้าดูถูกดูแคลนวิชาชีพ
หรือลบหลู่ครูบาอาจารย์ในศาสตร์ที่ข้าพเจ้าใช้ทำมาหากินในช่วงสั้นๆ
ของชีวิตในวัยเรียน
หากแต่ข้าพเจ้าอยากให้ท่านได้ตระหนักถึงคำกล่าวที่ว่า
"ในอดีต
ความรู้ที่มีอยู่ในโลกไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
ทำให้การไม่เป็น"นักเรียน" (ของครู) จึงไม่ส่งผลร้ายมากจนเกินไปนัก
เช่น
คนที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกอาจใช้ความรู้ที่ตนสะสมมาไปได้สักสิบกว่าปี
จึงพบว่าวิชาการได้ก้าวหน้าต่อไปจนไม่เหลือภูมิความรู้เดิมแล้วแต่ปัจจุบัน
ความก้าวหน้าทางวิชาการพัฒนาอย่างรวดเร็วมาก
คนที่จบปริญญาเอกมาเพียง ๓-๔ ปี
หากไม่หมั่นฝึกฝนค้นคว้าหรือทำวิจัยเพื่อหาความรู้เพิ่มเติมก็จะพบว่าตนเองเป็นคนที่ล้าหลังทางวิชาการทันที
และเมื่อนำไปสอนผู้เรียนก็จะไม่สามารถนำไปใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้"
(ศ.ดร.
เกรียงศักดิ์ เจิรญวงศ์ศักดิ์,
การศึกษา 2000, ฉ ๒๘, ๑๕-๒๘
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒)
และใครที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ก็ต้องยอมรับตัวเองด้วย
มิเช่นนั้นหากฝืนไม่ยอมรับความจริงดังกล่าว และยังทะนงตนไม่แสวงหา
สุดท้ายก็จะพบทางตัน มิหนำซ้ำยังพลอยพาวิชาชีพของตนเองเสียหายไปด้วย
ซึ่งข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงต่อไป
เทคโนโลยีพัฒนาไปรวดเร็วมาก
และเราเองในฐานะผู้ใช้ก็ยากที่จะตามให้ทั้งทุกศาสตร์ทุกเรื่องไป
ในบทความนี้ข้าพเจ้าจะขอกล่าวถึงในแง่ของเทคโนโลยีการศึกษาเป็นสำคัญ
ใครก็ตามที่อยู่ในแวดวงนี้คงไม่ต้องอธิบายขยายความมากว่าเทคโนโลยีการศึกษาคืออะไร
มีความเป็นมาอย่างไร
โดยท่านสามารถหาอ่านได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ตหรือจะอ่านบทความที่ข้าพเจ้าเคยเขียนไว้เมื่อ
๙ ปีที่แล้วก็ได้ในเรื่อง
เทคโนโลยีการศึกษา ความหมายและความเป็นมา
ทำไมถึงตั้งชื่อเรื่องว่า "เทคโนโลยีการศึกษาตายแล้ว?"
เนื่องจากข้าพเจ้านึกถึงหนังสือหรือบทความที่ชื่อว่า
"มหาวิทยาลัยตายแล้ว" อันเนื่องมาจากในช่วงหนึ่งยุคหนึ่ง
ความรู้หรือปัญญาชนจากมหาวิทยาลัยไม่สามารถช่วยเหลือหรือแก้ปัญหาให้สังคมได้
ซึ่งทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่าในปัจจุบันยังเป็นอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า
นี่เป็นเหตุที่ข้าพเจ้าได้เขียนบทความเรื่องนี้
เพราะข้าพเจ้ากำลังคิดไปเองว่า "เทคโนโลยีการศึกษา" หรือ
"นักเทคโนโลยีการศึกษา" ยังมีบทบาทกับการศึกษาอยู่หรือไม่
ข้าพเจ้าเองผ่านประสบการณ์ด้านโสตทัศนศึกษาก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นเทคโนโลยีการศึกษาในแง่ของการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้นั่นคือเรื่องของการผลิตสื่อเสียมากกว่า
เป็นที่ถกเถียงกันว่าบทบาทของนักเทคโนโลยีการศึกษานั้นเน้นที่
"สื่อ" ที่จับต้องได้ หรือเน้นที่ "ระบบ"
ที่นำมาปรับประยุกต์ใช้
เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนไปบทบาทของเทคโนโลยีการศึกษาควรจะเปลี่ยนไปด้วยหรือไม่
ถ้าเปลี่ยนจะยึดตัวสื่ออันเป็นรากของเทคโนโลยีการศึกษาหรือยึดระบบ
หรือจะพัฒนาควบคู่กันไป
นึกย้อนหลังกลับไปสัก ๑๐ ปี
กระบวนการผลิตนักเทคโนโลยีการศึกษาในระดับบัณฑิตก็ยังแนบแน่นอยู่กับการผลิตเป็นสำคัญ
และเป็นไปในรูปแบบของสื่อ analog
เช่น กล้องใช้ฟิล์ม, เขียนแผ่นใส, ทำสไลด์ประกอบเสียง,
ทำวีดิทัศน์ประกอบการสอน, บัตรคำ, โปสเตอร์ ฯลฯ ซึ่งเครื่องมือต่างๆ
นั้นล้วนแยกกันเป็นเอกเทศทั้งสิ้น
เราต้องเรียนการถ่ายภาพ, ผสมน้ำยาล้าง-ขยายภาพ, เขียนแผ่นใสด้วยลีรอย,
เขียนบัตรคำด้วยปากกาสปีดบอล, วาดหรือเขียนโปสเตอร์เอง, ถ่ายทำวีดิทัศน์และตัดต่อด้วยเครื่องตัดต่อราคาแพง
กระบวนการผลิตเหล่านี้เองที่นักโสตทัศนศึกษาหรือนักเทคโนโลยีการศึกษาได้ฝากผลงานไว้ในอดีต
ปัจจุบัน
ปัจจัยการผลิตสื่อทั้งหมดถูกหลอมรวมอยู่ในเครื่องมือไม่กี่ชิ้น และที่สำคัญคือเครื่องคอมพิวเตอร์
ซึ่งเราไม่สามารถปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งคอมพิวเตอร์เครื่องธรรมดาๆ
ในปัจจุบันผนวกกับเว็บแคมเล็กๆ ตัวหนึ่ง
ก็สามารถใช้ถ่ายทอดสดในการเรียนการสอนได้แล้ว
บทบาทการผลิตสื่ออันเป็นหัวใจสำคัญของนักเทคโนโลยีการศึกษา
ไม่ได้ถูกจำกัดแค่นักเทคโนโลยีการศึกษาอีกแล้ว
ในเมื่อเด็กชั้นประถมก็สามารถทำสื่อทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้
ถึงแม้ว่ามีบางส่วนจะอ้างว่า
นั่นไม่ใช่บทบาทหรือหน้าที่ของนักเทคโนโลยีการศึกษา
แล้วบทบาทที่แท้จริงคืออะไร
เป็นที่ยอมรับว่าการผลิตสื่อ การสร้างสื่อ
กับนักเทคโนโลยีการศึกษานั้นแยกกันไม่ออก
ในเมื่อไม่แสดงตัวตนให้เป็นที่ยอมรับ
ไม่สามารถตอบสนองโจทย์ทางการศึกษาได้
บทบาทของนักเทคโนโลยีการศึกษากับการศึกษาจึงลดน้อยถอยลงตามลำดับ
กับคำกล่าวที่ว่า "ถ้าหากเราย่ำอยู่กับที่ แต่คนอื่นเดินไปข้างหน้า
ก็เหมือนกับเราถอยหลังนั่นเอง"
น่าจะนำมาใช้กับแวดวงเทคโนโลยีการศึกษาได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นของไทยและต่างประเทศ
กระแสของสื่อการเรียนการสอนที่ทุกคนยอมรับในทุกวันนี้ก็คือ
การเรียนการสอนผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ
E-learning
ซึ่งต้องอาศัยความรู้และทักษะด้านคอมพิวเตอร์พอสมควร
ในความเห็นของข้าพเจ้า
ไม่เพียงแต่ต้องเรียนรู้เครื่องมือที่เป็นฮาร์ดแวร์เท่านั้น
นักเทคโนโลยีการศึกษาจำเป็นต้องเรียนรู้และศึกษาด้านซอฟต์แวร์ควบคู่กันไปด้วย
นักเทคโนโลยีการศึกษาที่ดีต้องไม่เก่งแต่ท่องตำราและทฤษฎีทางเทคโนโลยีการศึกษาเท่านั้น
ความรู้ใหม่ๆ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็ควรต้องศึกษาและเรียนรู้ไปด้วย
ข้าพเจ้าอยากยกตัวอย่างเรื่องของ "ระบบ"
ที่นักเทคโนโลยีการศึกษากล่าวถึง จากความรู้งูๆ ปลาๆ
ของข้าพเจ้าเกี่ยวกับเรื่องระบบก็คือ มี
การนำเข้า-การดำเนินการ-และผลที่ได้
เหมือนกับระบบของรถยนต์ ที่ใช้การนำเข้าต่างกัน เช่น ใช้น้ำมันเบนซิน,
ดีเซล หรือก๊าซโซฮอลล์
เพื่อไปทำให้เกิดการเผาไหม้เป็นผลให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนไปได้
หากเปรียบเทียบกับบทบาทของนักเทคโนโลยีการศึกษาควรจะอยู่ตรงไหน
จำเป็นต้องเรียนรู้ระบบเครื่องยนต์กลไกหรือไม่
หรือรู้แค่ว่ารถประเภทไหนใช้น้ำมันชนิดไหนก็พอ
เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนไป มีการพัฒนารถยนต์ให้หันมาใช้ก๊าซ
NGV, ก๊าซ
LPG แทนพลังงานจากซากฟอสซิลซึ่งมีราคาแพง
และเครื่องยนต์รอบต่ำเช่นเครื่องยนต์ทางการเกษตรก็หันไปใช้น้ำมันไบโอดีเซล
ประเทศที่เทคโนโลยีทันสมัยก็อาจหันไปใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์หรือพลังงานไฟฟ้า
หากข้าพเจ้ายกตัวอย่างไม่ถูกต้อง
ก็ต้องขออภัยในความเบาปัญญาของตัวเองด้วย
โลกของการศึกษาเปลี่ยนไป แนวคิดและการพัฒนาการของมนุษย์ก็เปลี่ยนไป
นักเทคโนโลยีการศึกษาก็ต้องวิวัฒนาการตัวเองให้ทันโลกของการศึกษาเช่นกัน
โดยเฉพาะเรื่องของการศึกษาผ่านเครือข่าย ซึ่งมีทั้งแบบผ่านสายและไร้สาย
แบบธรรมดาและแบบความเร็วสูง
หากเปรียบเทียบกับรถยนต์แล้วก็เหมือนการใช้พลังงานที่แตกต่างกัน
แต่ผลลัพธ์ก็คือเราต้องการให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
ควบคู่ไปกับการเป็นคนดี มีคุณธรรม สามารถอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
หากเราไม่ขวนขวายที่จะเรียนรู้ระบบเครื่องยนต์กลไก
เรียนรู้การใช้พลังงานที่ถูกต้องเหมาะสม
แล้วเราจะขับเคลื่อนยานพาหนะของเราให้ดีไปได้อย่างไร
ข้าพเจ้าถึงได้เปิดประเด็นนี้ขึ้นมาว่า
"เทคโนโลยีการศึกษา...ตายแล้ว?"
เพื่อให้เราได้อภิปรายถกเถียงกันในวงกว้าง
ทั้งนี้ข้าพเจ้าอยากให้คนรุ่นหลังๆ ที่สนใจและใฝ่ใจที่ศึกษาในศาสตร์นี้
ได้มีที่ยืนเพื่อแสดงตัวตนอย่างทระนงบ้าง
ข้าพเจ้ายังรักและศรัทธากับศาสตร์ทางด้านโสตทัศนศึกษาและเทคโนโลยีการศึกษาและกราบขอบ
พระคุณบูรพคณาจารย์ทุกท่านที่ได้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้กับข้าพเจ้า
จนกระทั่งมีที่ยืนในสังคม
และปณิธานของข้าพเจ้าก็คือจะต้องทำให้ศาสตร์ด้านเทคโนโลยีการศึกษา
เป็นที่ยอมรับและถือเป็นวิชาชีพให้ได้
ทั้งนี้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีกำลังใจและพัฒนาศาสตร์ด้านนี้
เพื่อการศึกษาไทย เพื่อสังคมไทย และประเทศไทย ต่อไป
Homepage |