๑๘ พ.ค.๒๕๓๕

วนเวียนอยู่บริเวณถนนราชดำเนินกระทั่งหัวค่ำ ฝูงชนเริ่มทยอยมารวมตัวอีกครั้งที่บริเวณด้านหน้า
กรมประชาสัมพันธ์ ข้าพเจ้ากับเพื่อนลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยเพื่อจะไปยังสถานที่ดังกล่าว
เนื่องจากตอนนั้นมีกองกำลังทหารส่วนหนึ่งตรึงอยู่บริเวณสี่แยกคอกวัว

เห็นนักศึกษาแพทย์-พยาบาล กำลังรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บอยู่ให้บ้านพักของผู้อารีย์ที่เปิดเป็นสถานพยาบาลชั่วคราว ข้าฯ กับเพื่อนถือโอกาสขอน้ำดื่ม 

จนกระทั่งมาถึงสี่แยกคอกวัว ด้านฝ่ายประชาชน บางส่วนก็เห็นนั่งคุยกับทหารสอบถามที่มาที่ไปว่าทหารเหล่านี้มากันยังไง  อืมมมม.. ทหารหลายๆ คนบอกว่าได้รับคำสั่งให้มาปราบปรามคอมมิวนิสต์

ข้าฯ กับเพื่อนเดินมาจนถึงแนวชายแดนกลางกรุง ก็ดูภาพเอาเถิดครับ มีรั้วลวดหนามกั้นระหว่างคนไทยด้วยกันเอง อีกฝ่ายได้รับคำสั่งให้มาปราบปราบโดยมีปืนกล M60 พร้อมขาตั้ง เหมือนกับหนังสงครามยังไงยังงั้นละครับ ส่วน อีกฝ่ายมาชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ

เริ่มดึก ...สถานการณ์ก็เริ่มตึงเครียดมากขึ้นตามลำดับ หากมองจากสถานการณ์ตรงนั้นแล้ว คำว่า "ยั่วยุ" ฝ่ายตรงข้าม มันทวีความรุนแรงมากขึ้น

 ข้าฯ กับเพื่อนคาดเดาเอาว่า อาจจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นในไม่ช้า ก็เลยมุ่งหน้าไปที่กรมประชาสัมพันธ์ประชาชนบางส่วนยึดรถเมล์เพื่อจะพุ่งฝ่าวงล้อมของทหารออกไป และไม่มีใครสามารถคุมใครได้แล้ว ขณะที่ข้าฯ กับเพื่อนเดินๆ อยู่นั่น จู่ๆ ก็มีคนตะโกนว่ายิงกันแล้ว

เอาสิครับ ฝูงชนก็แตกฮือวิ่งกันอลหม่านไปหมด ข้าฯ กับเพื่อนเลยต้องตะโกนแข่งกับความอลหม่านนั่นว่า "อย่าวิ่งๆๆๆๆ " เพราะผมเพิ่งมาจากตรงนั้น ไม่มีอะไรๆๆๆ" แล้วใครมันจะไปฟังใครละครับ

มีขบวนมอเตอร์ไซค์มาเสริมทัพอีก ได้ข่าวว่าผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์โดนยุทธการใบไม้ร่วงกันไปหลายคน ในส่วนนี้ข้าฯ ไม่ขอยืนยันเพราะไม่เห็นศพ เห็นแต่ซากมอเตอร์ไซค์

เหนื่อย เพลีย ละเหี่ยใจ ข้าฯ กับเพื่อน เลี่ยงฝูงชนออกมานั่งที่บริเวณใจกลางท้องสนามหลวง หากจำไม่ผิด คืนนั้นพระจันทร์งามยิ่ง เอนกายลงนอนดูจันทร์

เสียงปืนรัวถี่ยิบ บางส่วนมองเห็นเป็นลูกไฟแหวกอากาศสู่ท้องฟ้าเบื้องบน ฝูงชนแตกฮือหนีตายมายังท้องสนามหลวง 

ข้าฯ กับเพื่อนลุกขึ้นวิ่งบ้าง ยังไม่ทันไร คล้ายๆ มีอาวุธปืนมาจ่ออยู่ตรงหน้า ความรู้ทางทหารในระดับว่าที่สิบเอกของข้าฯ ก็พอจะเดาออกว่านี่คือ M16 บัดนี้มีอยู่เฉียดหน้าไปไม่กี่เซนติเมตร

คลานไปๆๆๆ เสียงออกคำสั่งหนักแน่น ชัดเจน ดูเหมือนไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง ตอนนั่ง นอนอยู่ก็ไม่เห็นมีทหารสักนายเลยนี่นา แล้วทำไมตอนนี้มันพรึบไปหมด ... ดูเหมือนจะเป็นทหารน้ำ

จากรถที่จอดในท้องสนามหลวงนั่นเอง ... ยุทธศาสตร์ทุกอย่างถูกวางไว้เรียบร้อยแล้ว 

กล้องดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคในการคลานต่ำที่สุด ข้าฯ กับเพื่อนและอีกหลายคน ต่างก็รีบคลานไปยังฝั่งมหาวิทยาลัย... เกือบ ๒๐ เมตรละครับ ถึงกล้าหันหน้ากลับไปมอง ดูท่าจะปลอดภัย ข้าฯ รีบวิ่งเข้าไปในมหาวิทยาลัยทันที ... ปราศจากเงาของเพื่อน

กลัว หวาด วิตก กังวลไปหมด มองเห็นตู้โทรศัพท์ นึกถึงเพื่อนอีกคนรีบโทรฯ รายงานสถานการณ์ ตอนนั้นเสียงปืนเริ่มหนักขึ้นกว่าเดิม กระทั่งเพื่อนบอกให้ข้าพเจ้ารีบกลับ

ดูเหมือนเสียงปืนจะไล่หลังมาติดๆ ข้าฯ วิ่งเข้าไปหลบในซอกตึกของคณะสังคมศาสตร์ 

"คอมมิวนิสต์" ออกไปซะ ... เสียงเหมือนมนุษย์แต่งกายคล้ายยาม ถือกระบอกวิ่งมาที่ข้าฯ

ตอนนั้นข้าฯ อายุ ๒๓ เพิ่งเรียนจบ เคยผ่านการเป็นนักศึกษาวิชาทหารมาบ้าง แต่ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ เคยเห็นแต่ในวีดีโอ ตอนที่ทหารฆ่าประชาชน ...

ข้าฯ เห็นฝูงชนวิ่งไปทางทิศตะวันตก เลยวิ่งตามเขาไป ตรงนั้นเป็นท่าน้ำ มีเรือข้ามฝากอยู่ลำหนึ่ง เห็นเขาลงไปในเรือก็เลยลงตามเขาไป ...

แม้ว่าตอนมากรุงเทพครั้งแรก ข้าพเจ้าอาศัยอยู่กับป้าที่ฝั่งธน แต่ข้าฯ ไม่เคยนั่งเรือข้ามฝากเลย และนี่เป็นครั้งแรกที่รู้เขานั่งเรือกันอย่างไร และมารู้เอาตอนหลังว่า ที่ข้าฯ ลงเรือนั่น เขาเรียก "ท่าพระจันทร์"

ป้ายโรงพยาบาลศิริราช ดูแจ่มชัดในยามค่ำ ต้องจ่ายเงินค่าลงเรือด้วย ... ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัว เหลือไม่ถึง๑๐ บาท

ข้าฯ นั่งสับสนอยู่ที่โรงพยาบาลนานเท่าไหร่ไม่ทราบ บรรยากาศขณะนั้นอลหม่านไปทั่ว เสียงตะโกนอื้ออึงจับใจความไม่ถูก แต่มาสะดุดตรงคำว่า "แห่ศพไปเลย" ...

ข้าฯ ผลอยหลับไปตอนไหนไม่รู้ เกือบเที่ยงคืน ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบลง นึกไม่ออกว่าจะกลับไปบ้านยังไงเงินก็เหลือไม่กี่บาท รถเมล์ก็ไม่รู้จะขึ้นสายไหน ข้าฯ ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน

นึกถึงเพื่อนอีกคนที่เคยทำงานด้วยกันเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา บ้านเธออยู่ฝั่งธนฯ โทรศัพท์ไปหา บอกตำแหน่งที่ข้าฯ อยู่ เพื่อให้เธอนำทาง 

เธอบอกว่ายังมีรถเมล์วิ่งย่านฝั่งธนฯ ทำให้ข้าฯ ใจชื้นขึ้นมาบ้าง ขณะที่เดินออกจากโรงพยาบาล เพื่อจะไปขึ้นรถเมล์ ข้าฯ เห็นคนที่หน้าตาคลับคล้ายคลับคลาว่ารู้จักกัน ก็เลยรีบเดินเข้าไปหา

โอ้... เป็นเพื่อนร่วมกลุ่มกิจกรรมแวดวงคนรักวรรณกรรมในรามคำแหงนั่นเอง ... บ้านพวกเขาอยู่ฝั่งธนพอได้ข่าวก็เลยรีบรุดมาดู ... ข้าฯ ได้โอกาสขอยืมเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดระหว่างทาง ๕๐ บาท บัดนี้ยังไม่ได้ชดใช้เลย

ถึงบ้านเธอตี ๑ กว่าๆ ข้าฯ หลับด้วยหัวใจที่อ่อนล้า ท้อแท้ และสิ้นหวังกับอดีตที่ผ่านมาชั่วครู่

รุ่งเช้า ข้าฯ โทรศัพท์กลับบ้านที่ศีขรภูมิ บอกว่าข้าฯ ปลอดภัย และขอทางบ้านส่งค่ารถกลับมาให้ด้วย

๑๙ พ.ค.๒๕๓๕ ข้าฯ ก่อนกลับที่พักย่านสุขาภิบาล ๓ ข้าฯ แวะไปที่ข้าฯ เคยทำงาน เจอเพื่อนอีกคน
นี่โดนทำร้ายร่างกายมาด้วย แต่ไม่เป็นอะไรมาก ข้าฯ ได้รับการขอร้องให้พิมพ์สิ่งพบเห็น เพื่อแจกจ่าย
และ FAX ไปอีกหลายแห่งทั่วโลก 

โทรไปหาเพื่อนที่พลัดหายเมื่อคืน ... ดีใจที่ได้ยินเสียงมันอีกครั้ง ...

๒๐ พ.ค.ดูเหมือนเหตุการณ์จะไม่ยุติง่ายๆ ที่รามคำแหงประชาชนเรือนหมื่นมาชุมนุมตามเจตนารมณ์เดิมข้าฯ ก็มาร่วมเช่นกัน ... ข้าฯ ไม่ได้เอากล้องมาด้วย ... แต่เอาเอกสารที่ข้าฯ พิมพ์ แจกจ่าย ไปทั่ว ประมาณ ๕๐๐ แผ่น หมดภายในไม่กี่นาที

เพื่อนฝูง น้องพี่มากันมากมาย ต่างก็แลกเปลี่ยนทัศนะกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา ลาน สวป. ก็มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นอภิปรายกันทั้งวัน กระทั่งเย็นและค่ำ ข้าฯ ก็ยังไม่ได้ไปไหน วนเวียนอยู่แถวๆ นั้น รู้สึกอบอุ่นใจ

ราวๆ ทุ่มครึ่งมีการประกาศเคอร์ฟิว ห้ามออกนอกบ้านตั้งแต่ ๓ ทุ่มถึงตี ๔ ช่วงนี้หลายๆ คนเริ่มทยอยกลับบ้าน แต่บางส่วนก็ยังปักหลักอยู่ไม่ถอยเหมือนกัน 

เหตุการณ์ดูตึงเครียดทุกขณะ ทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ข่าวคราวต่างๆ ดูสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก ต่างคนก็ต่างคาดเดาไปต่างๆ นานา อย่างไรก็ดี พวกเรายังคงชุมนุมอยู่ภายในบริเวณมหาวิทยาลัย เพราะดูเหมือนจะปลอดภัยที่สุด แม้เราจะมีทีวีไว้คอยติดตามข่าวสารตลอดเวลา แต่ความน่าเชื่อถือนั้นหลายคนยังแคลงใจ  จนกระทั่งโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจได้ออกมาบอกให้ประชาชนรอฟังข่าวดี

ข้าฯ นึกถึงเหตุการณ์ในวีดีโอ ที่มีเฮลิคอปเตอร์บินวน แล้วกราดกระสุนเข้าใส่

เที่ยงคืน ข่าวที่ประชาชนทั้งชาติรอคอยก็มาถึง เมื่อโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแพร่ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกสุจินดาและพลตรีจำลองเข้าเฝ้า เพื่อนำไปสู่การยุติปัญหา

ในที่สุด ... ชัยชนะก็ตกเป็นของประชาชนอีกครั้ง แต่ก็แลกมาด้วยเลือดและน้ำตาเช่นเดิม

ข้าฯ นั่งรถกลับศีขรภูมิ ในใจยังเจ็บลึกและปวดร้าวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา และได้แต่ภาวนาว่า ขออย่าได้มีเหตุการณ์ทำนองนี้อีกเลย...

"คารวะดวงวิญญาณทุกดวงที่ล่วงลับ
แม้ชีพดับแต่ความดีจารึกอยู่
เสรีภาพที่พวกเราร่วมต่อสู้
จะคงอยู่ต่อไป... นานเท่านาน"

ด้วยจิตคารวะ



คำ "ติ-ชม" ของท่านมีค่ามหาศาลต่อการพัฒนาเว็บไซต์ครั

created by.
กระดานดำออนไลน์
775/11 Sukhapibarn 4 Rd. Tambol.Ra-ngang
Sikhoraphum District, Surin Province.Thailand 32110

email : jakrapog@hotmail.com