button.jpg (1219 bytes)...จากป่า...สู่เมืองคอนกรึต...

page.jpg (703 bytes)


=ช้างในกรุง=

ต้องจากถิ่น อาศัย ที่น่าอยู่
กลับต้องมา ต่อสู้ ในเมืองใหญ่
เมืองที่เขา เรียกว่า ศิวิไลซ์
เมืองที่ ใครๆ ก็อยากมา

แต่ว่าฉัน อยากกลับไป บ้านเกิด
ถิ่นกำเนิด อุ่นไอดิน หอมกลิ่นป่า
กลับไปอยู่ กับเพื่อนฉัน ในวนา
กลับไปเป็น เจ้าป่า ที่น่าเกรง

ขอกรุณา จากมนุษย์ ผู้ยิ่งใหญ่
หยุดได้ไหม การทำลาย อีกข่มเหง
หยุดทำตัว วางท่า เป็นนักเลง
ช่วยบรรเลง เพลงสร้างสรรค์ นั่นแหละดี.


"ทำไมต้องเอาช้างมาทรมาน"
"การกระทำเช่นนี้ มิได้ต่างไปจากขอทานเลย"
"ทำให้การจราจรติดขัด เสียเวล่ำเวลาคนอื่น"
...ฯลฯ...

bullet

คำถามและประโยคต่างๆ เหล่านี้อาจจะออกมาจากปากของเรา ท่านๆ ก็ได้
หากได้คนกลุ่มหนึ่งนำพาช้างเชือกใหญ่และเล็ก ตระเวณอยู่ใจกลางเมืองกรุง
แทนที่จะให้มันอยู่ตามธรรมชาติของพวกมันในผืนป่าใหญ่ อย่างที่มันควรจะ
อยู่อย่างปกติสุข


"ลอดท้องช้างไหมครับ   ลอดแล้วจะมีโชค"
"ซื้ออาหารให้ช้างไหมครับ ๑๐-๒๐ บาทเอง"
เสียงตะโกนปาวๆ เป็นการเชิญชวนให้ผู้คนที่อยู่ตามเส้นทางที่พวกเขาและช้าง
เพื่อนยากได้ตระเวณผ่าน   โดยเฉพาะกรุงเทพ เพราะตามความเชื่อของคนโบราณ
นั้น การได้ลอดท้องช้างถือเป็นมงคลยิ่งแก่ชีวิต

ารนำช้างออกตระเวนไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย เพียงเพื่อแลกกับเงินตราในการ
การลอดท้องช้างแต่ละครั้ง อาจจะดูเหมือนเล็กน้อยในสายตาของบางคน แต่สำหรับ
พวกเขาแล้วมันอาจหมายถึงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของครอบครัวก็เป็นได้

นั่นเป็นเหตุให้พวกเขาถูกมองจากคนในสังคมเมืองว่า "เป็นการนำช้างมาทรมาน"
และที่หนักไปกว่านั้นคือ พวกเขาถูกหาว่า "เป็นการขอทานในอีกรูปแบบหนึ่ง"

*** การเดินทางจากป่าสู่เมือง *** แต่ถ้าหากเรา-ท่าน ได้เข้าไปสัมผัสกับ
ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นแล้ว คำถามหรือ
ข้อสงสัยต่างๆ อาจจะกระจ่าง และเกิด
ความเห็นอกเห็นใจคนเลี้ยงช้างกลุ่มนี้
ขึ้นมาก็เป็นได้

จากเส้นทางอันยาวไกล สู่มหานครของไทย
ที่ "ชาวกูย" (กวย, ส่วย แต่พวกเรามักจะเรียก
ตัวเองว่า "กูย" หรือ "กวย" ซึ่งแปลว่า "คน")

bullet จากลุ่มน้ำมูล แห่งบ้านตากลาง ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ต้องรอน
แรมพาช้างเพื่อนยากด้วยหวังว่าจะหารายได้เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องพวกเขารวมถึง
ครอบครัวที่รอคอยด้วยความหวังอยู่ที่บ้านด้วยเช่นกัน

นี่คือเป้าหมายสำคัญ...ที่น้อยคนนักจะเข้าใจ

"ถ้าอยู่ที่บ้านก็คงจะตายกันหมด ทั้งคนทั้งช้างนั่นแหละครับ" คนเลี้ยงช้างตอบผม
ในระหว่างการสนทนาภาษาเดียวกัน ที่พักชั่วคราวริมถนนรัชดาภิเษก...

"ทุกวันนี้ มันไม่ป่าจะให้ช้างอยู่ ให้ช้างกินแล้ว สู้มาหาเงินในกรุงเทพดีกว่า ยังพอได้
เงินซื้อกล้วย ซื้ออ้อยให้มันกินบ้าง"
หลังสิ้นคำตอบเขาทอดสายตามองไปที่เจ้าเพื่อน
ยาก แววตาสะท้อนถึงความขมขื่นที่ได้รับ ทั้งจากคนสุรินทร์ด้วยกันเองและคนเมือง
ที่ไม่ยอมที่จะเข้าพวกเขา...สำนึกของชาติพันธุ์เดียวกัน ทำให้ผมเจ็บลึกในหัวอก

"ป่าที่เคยมีนั่นนะหรือ เขาก็ตัดทิ้ง ปลูกยูคาลิปตัสกันหมด ช้างมันกินไม่ได้ ถ้าเข้า
ไปเขาก็จับเอา หาว่าบุกรุกป่าของเขา"

วกเขาไม่มีทางเลือกอื่น แม้รู้ว่าการนำพา
ช้างเพื่อนยากเข้ามาเมืองหลวง มันไม่ใช่
เรื่องที่ถูกต้อง เพราะไหนจะต้องหาทำเลที่
เหมาะสมสำหรับช้างและคนได้พักอาศัย
ขณะที่ต้องเผชิญกับมลพิษอย่างหลีกเลี่ยง
ไม่ได้ นอกจากนั้น ยังเป็นการสร้างปัญหา
จราจรให้กับคนเมืองอีกด้วย

...แต่ใช่ว่าพวกเขาอยากให้เป็นเช่นนั้น...

city1.jpg (9806 bytes)
*** กำลังเร่ขายสินค้า *** ายได้ที่พวกเขารอนแรมมากับช้างเพื่อนยากนั้น หากหักค่า
ใช้จ่ายทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ก็พอที่จะส่งเสียให้เมียได้ใช้ ให้ลูก
ได้ศึกษาเล่าเรียน ที่สำคัญคือ ได้ซื้ออาหารให้ช้างกิน ประการ
หลังสุดนี้ ไม่ใช่เงินน้อยๆ แต่อาจถึงครึ่งหนึ่งของรายได้แตะละ
วันด้วยซ้ำ ...เราน่าจะรู้ดีว่า ช้างกินมากเพียงไหนในแต่ละวัน"

"นู้นพวกเขานอนห้องแอร์ จะไปรู้อะไรกับพวกผม ให้วันละ
๑,๕๐๐ บาท สองวัน ๓,๕๐๐ บางทีผมต้องเสียค่ารถเหมาจากใต้

มาตั้งหลายพัน มันไม่คุ้มหรอก แต่สัญญาลูกผู้ชายมันก็ต้องทำ" เขาหมายถึงรายได้
จากการแสดงช้างในแต่ละปี ซึ่งทางจังหวัดมอบให้กับกลุ่มคนที่สร้างชื่อให้กับจังหวัด
สุรินทร์

"เรื่องเข้าร่วมแสดงงานช้าง เจ้าหน้าที่เขาก็จะมาดูก่อนวันแสดงช้างไม่กี่วันเท่านั้น
แหละ คือว่าดูว่า มีช้างเยอะพอที่จะแสดงได้ไหม นอกจากนั้นอย่าไปหวัง..."

ลังเสร็จสิ้นภารกิจการแสดงงานช้าง
ประจำปีของจังหวัดสุรินทร์ในเดือน
พฤศจิกายนบรรดาชาวกูยเลี้ยงช้าง
กลุ่มนี้แทบจะถูกลืมไปจากชาวสุรินทร์
เลยก็ว่าได้ทั้งๆที่รายได้จากการจัด
งานช้างประจำปีนั้นเป็นจำนวนเงิน
...ไม่น้อย...

*** เดินไปสู่หนไหน ***

*** "เชียงปุม" พระยาสุรินทรภักดี ***

ว่า 3 ทศวรรษที่ชาวกูยและช้างเหล่านี้ ได้มอบหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างให้
กับเมืองสุรินทร์ แต่สำหรับวิถีชีวิตของพวกเขาแล้วกลับมืดมนอย่างน่าใจหาย

หาก "เชียงปุม" หรือพระยาสุรินทรภักดี เจ้าเมืองคนแรกของสุรินทร์ ซึ่งเป็น
ชาวกูยเช่นกัน ได้รับรู้ถึงปัญหาต่างๆ เหล่านี้

...ท่านคงจะเสียใจไม่น้อย ที่ลูกหลานของท่านถูกทอดทิ้ง ถูกลืม ถูกดูถูก
เหยียดหยาม อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...

bullet ดีตที่เกรียงไกรของ ชาวกูย กำลังถูกลบเลือนไปพร้อมๆ กับความเจริญของสังคมเมือง
ในฐานะที่ผมเองเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวกูยเช่นกัน ผมขอใช้สิทธิที่จะเรียกร้องขอ
ความเป็นธรรมให้กับพี่น้องของผมกับคนเมืองบ้าง...

"ฉูยมอไฮนังเด้อ เชียงปุม"


ลงพิมพ์ครั้งแรกใน "ภาพหน้ากลาง" หนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ . ๓-๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘
ปรับปรุงเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๔๓


สารบัญู [back to menu]

งานช้าง ประเพณีบวช เรื่องของช้าง  

Guestbook

Created By:Jakrapong Juajun
775/11 Sukhaphibarn 4 Rd. Sikhoraphum

Surin, Thailand. 32110
email: jakrapog@hotmail.com
ICQ#42251791



Homepage: http://www.kradandum.com/

yo.jpg (13579 bytes)