ศาสนาและความเชื่อ
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ส่วนที่สำคัญในทุกวัฒนธรรมคือศาสนา
เพราะศาสนามีผลต่อความรู้สึกนึกคิด ประเพณี
และเป็นแรงบันดาลใจให้มนุษย์ได้สร้างสรรค์วัฒนธรรมอื่นๆ
อีกเป็นอันมาก ดังที่เสถียรโกเมศได้กล่าวไว้ดังนี้
"วัฒนธรรมที่เป็นส่วนสำคัญคือศาสนา เพราะวัฒนธรรมอื่นๆ มีประเพณี
ศิลปะ วรรณคดี จรรยาและคติความเชื่ออื่นๆ
แต่เดิมย่อมขึ้นอยู่แก่ศาสนาทั้งนั้น เช่น ประเพณีทำบุญ
การสร้างสถานที่วิจิตรรจนา รูปภาพ รูปหล่อ
ก็อยู่วัดวาอารามทางศาสนา
วรรณคดีแต่ก่อนเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาเป็นส่วนมาก
แม้แต่นิทานก็เช่นเดียวกัน ความคิดเรื่องความประพฤติ เรื่องบาปบุญ
คุณโทษ ก็สืบเนื่องมาจากศาสนาเป็นส่วนมาก เป็นเช่นนี้มาแต่เดิม
ไม่ว่าเป็นชาติภาษาใด
แม้ว่ารบกันก็ยังอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาให้ช่วยคุ้มครองหรือเพื่อศาสนา
ถึงทุกวันนี้ก็เป็นเช่นนั้น"
สังคมไทยมีพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจและยึดถือในการประพฤติปฏิบัติ
อีกทั้งยังมีส่วนช่วยจรรโลงให้สังคมไทยสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยความสงบสุขตลอดมา
ดังจะเห็นได้จากอดีตที่คนไทยได้ผูกการดำเนินชีวิตไว้กับศาสนากิจ
เช่น เมื่อครั้งรุ่งอรุณ
เสียงระฆังจากวัดจะปลุกแม่บ้านให้ตื่นจากนิทรา
เพื่อมาหุงหาอาหารสำหรับคนในครอบครัวและเตรียมเป็นสำรับกับข้าวสำหรับใส่บาตรเป็นกิจวัตรประจำวัน
ยามเพลจะได้ยินเสียงกลองอันเป็นสัญลักษณ์บอกว่าใกล้จะเที่ยงวัน
เมื่ออาทิตย์อัศดงลับขอบฟ้าก็จะได้ยินเสียงสวดมนต์ทำวัตรเย็นดังมาจากอุโบสถ
ก่อนจะเข้านอนคนไทยจะต้องระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ
ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอนและสำหรับบุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
ในปรมัตถ์ ก็มีผลต่อการพัฒนาจิตวิญญาณ
ให้เป็นอิสระจากความทุกข์ยากทั้งปวง
พุทธศาสนาจึงเป็นหลักในการหล่อหลอมบ่มเพาะทั้งความประพฤติ สติปัญญา
และอุดมการณ์แห่งชีวิตของคนไทยไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้
วัดยังเป็นศูนย์รวมของการทำบุญตามกาละสำคัญต่างๆ เช่น วันมาฆบูชา
วิสาขบูชา เข้าพรรษา ออกพรรษา การรวมกิจกรรมต่างๆ
ถือเป็นการเอื้ออาทรและแสดงไมตรีจิตต่อกัน
ทำให้วัดและชุมชนจึงใกล้ชิดกันตลอดมา ไม่เพียงแต่เท่านั้น
ประมุขแห่งสยามประเทศทุกพระองค์นับแต่อดีตกาลกระทั่งปัจจุบันล้วนเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
จนเกิดกระแสนิยมเรียกประมุขนั้นว่า "พระธรรมราชา"
และได้มีการบัญญัติ "ทศพิธราชธรรม" และ "จักรวรรดิวัตร"
ขึ้นไว้เป็นจรรยาบรรณแห่งการปกครอง
ทำให้คนไทยทุกคนได้อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารมีความร่มเย็นเป็นสุขเสมอมา
พระพุทธศาสนา
จึงเป็นศาสนาที่อยู่คู่สังคมไทยมาทุกยุคทุกสมัยและควรส่งเสริมทำนุบำรุงให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป
ดังจะขอเชิญพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานแก่ประชาชนในการเสด็จออกผนวช เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม
พ.ศ.๒๔๙๙ ดังนี้
"อันพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของเรานี้
ตามความที่ได้อบรมมาก็ดี ตามความศรัทธาเชื่อถือก็ดี
เห็นเป็นศาสนาที่ดีศาสนาหนึ่ง มีคำสั่งสอนให้คนประพฤติตนเป็นคนดี
ทั้งเพียบพร้อมด้วยบรรดาสัจธรรมอันชอบด้วยเหตุผลน่าเลื่อมใสยิ่ง"
อย่างไรก็ตาม
คนไทยก็มีจิตใจกว้างในการยอมรับความเชื่อหรือการปฏิบัติของศาสนาทุกศาสนา
ทั้งยังอยู่ร่วมกันได้ด้วยความปรองดอง
ความเป็นศาสนาที่ไม่ใช่ความรุนแรง รักสงบและยึดทางสายกลาง
ทำให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่รวมคนไทยเข้าด้วยกันได้ดี
แม้ว่าต่างชาติ ต่างศาสนากัน ยิ่งกว่านั้น
พระมหากษัตริย์ของไทยยังทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภก
คืออุปถัมภ์ศาสนาทั้งหลายไม่เฉพาะแต่พระพุทธศาสนา
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าลักษณะที่เป็นมิตรของพระพุทธศาสนานั้น
เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในลักษณะของสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นสถาบันหลักอีกศาสนาหนึ่งด้วย
ในด้านความเชื่อของคนไทย ก็ไม่ได้แตกต่างจากชนชาติอื่นๆ
คือมีความเชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์ ผีสางเทวดา
เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นและมีฤทธิ์อำนาจที่จะบันดาลร้าย-ดี
ให้แก่มนุษย์ได้
การที่คนไทยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับธรรมชาติและสิ่งที่เหนือธรรมชาติ
คนไทยจึงมีความเชื่อในสรรพสิ่งอันเป็นวิสัยของมนุษย์ที่ต้องการดำรงอยู่ด้วยความรู้สึกสมดุลกับธรรมชาติ
และเป็นการสร้างกุศโลบายให้มีความรักและความหวงแหนสิ่งที่ให้คุณประโยชน์ในการดำรงชีวิต
ความเชื่อของคนไทยแต่เดิมคือ "ผี" อันได้แก่ ผีบรรพบุรุษ ผีฟ้า
(แถน-เทวดา) ผีนา (แม่ขวัญข้าว-แม่โพสพ) ผีดิน (แม่ธรณี) ผีน้ำ
(แม่คงคา) และผีอื่นๆ อีกมากมาย
ทั้งนี้เพราะคนไทยในสมัยก่อนถือว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติ
ซึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติสามารถที่จะดลบันดาลให้ทั้งความอุดมสมบูรณ์และความวิบัติภยันตรายทั้งปวง
การไม่ทำลายและทำร้ายธรรมชาติทำให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
จากที่กล่าวถึงเรื่องศาสนาและความเชื่อของคนไทย
จะเห็นได้ว่าการนับถือศาสนาและความเชื่อของคนไทยมีลักษณะพิเศษ
กล่าวคือ นอกจากจะกราบไหว้บูชาพระพุทธรูปแล้ว
ยังกราบไหว้บูชาศาลพระภูมิและผีสางเทวดา
จากที่กล่าวเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยนั้น
จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมไทยนอกจากจะมีลักษณะเป็นสากลเหมือนกับวัฒนธรรมของกลุ่มชนอื่นๆ
แล้ว ยังมีลักษณะเฉพาะที่แสดงเอกลักษณ์แห่งความเป็นไทย
แสดงลักษณะเฉพาะของกลุ่มตนหลายประการ อาทิ
เป็นวัฒนธรรมที่มีความเกี่ยวพันกับพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น
อีกทั้งยังเกี่ยวพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยทั้งปวง
นอกจากนี้
ยังมีลักษณะที่ผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมเข้ากับศาสนาพุทธและพราหมณ์ได้อย่างแนบสนิท
เป็นวัฒนธรรมที่มีความกลมกลืนกับธรรมชาติ
ชื่นชมธรรมชาติมากกว่าจะเอาชนะธรรมชาติ
ดังเช่นกวีโบราณที่รจนาไว้ในวรรณคดีหลายๆ ฉบับ อีกประการก็คือ
มีความละเอียดลออ
ประณีตพิถีพิถันตามแบบฉบับชีวิตชาวบ้านที่ไม่มีความรีบร้อน
ซึ่งจะเห็นได้จากงานวิจิตรศิลป์ต่างๆ ของไทย
และยังเป็นวัฒนธรรมที่มีความอิสรเสรี แสดงออกถึงความสนุกสนาน
ร่าเริง เน้นคุณค่าของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะยกย่องผู้อาวุโส พระสงฆ์ วงศาคณาญาติ
วัฒนธรรมไทยสั่งสอนให้คนไทยเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ สิ่งต่างๆ
เหล่านี้ได้ดำเนินสืบเนื่องมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน
สั่งสมเป็นวัฒนธรรมของชาติ
ทำให้คนไทยทุกหมู่เหล่าสามารถอยู่ร่วมกันด้วยความอบอุ่นและสงบสุข
อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมไทยก็เช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆ ทีมนุษย์
สังคมสร้างขึ้น ย่อมต้องมีเกิด มีดับ เปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหว
ตลอดเวลา และท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของโลก
จำเป็นที่จะต้องมีการตัดสินใจ นั่นคือจะต้องปรับปรุง
แก้ไขให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมและสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ดังนั้นการผสมผสานระหว่างเก่ากับใหม่และกับวัฒนธรรมต่างประเทศของวัฒนธรรมไทยจำเป็นต้องมีขึ้น
เพื่อให้สามารถดำรงอยู่ได้ในสังคมโลก
แต่ก็ไม่สามารถละทิ้งความเป็นเอกลักษณ์ของไทยได้
การเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมไทยนั้นมีทั้งด้านบวกและด้านลบ
ดังจะได้กล่าวต่อไปต่างๆ ด้วย
|