ตั้งแต่ผมกลับมาอยู่บ้านและทำงานด้านอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ท้ายทุ่งแรกๆ
ก็ดีอยู่หรอกแต่พอ
บิลค่าโทรศัพท์มา
แม่ผมถึงกับเอ่ยปากบ่นถึงค่าโทรศัพท์ที่เพิ่มขึ้นกว่าปกติถึง๓
เท่าตัว เพราะ
แม่ผมเป็นคนจ่ายการเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตที่นี่เป็นสิ่งที่น่าเบื่อมาก
ลองคิดดูแล้วกันว่า
ถ้าหากคุณเล่นอินเทอร์เน็ตใน
๑ ชั่วโมงต้องต่อโทรศัพท์ราวๆ
๕-๑๐
ครั้ง คิดเป็นเงินต่อเดือน
ก็หลายอัฐ
ทำให้ผมต้องมาทบทวนดูว่า
สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี้มันคุ้มหรือไม่ เมื่อเร็วๆ
นี้ผมไปงานศพ
พ่อของเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลายเจออาจารย์ที่สอนอยู่สถาบันราชภัฏ
ก็เลยเข้าไปถามถึง
ตำแหน่งงานที่ว่างอยู่
พอได้รับคำตอบจากอาจารย์ว่า"ทางกระทรวงเก็บตำแหน่งไว้สำหรับ
ปริญญาเอก
และรอคนที่จะกลับมาจากต่างประเทศ"
ผมถึงถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ
เมื่อปี
๔๑
ผมไปสอบบรรจุเข้ารับราชการครูที่จังหวัดใกล้ๆ
บ้าน ในตำแหน่งอาจารย์โสตฯ
ซึ่งรับเพียง๑ อัตรา
เชื่อไหมครับว่า มีข้อสอบ "อัตนัย ๑๐๐คะแนน" พอผมเห็นข้อสอบผมก็รู้
ทันทีว่า "มีงานแน่ๆ"
และก็เป็นตามคาด
"ผมสอบได้ที่ ๒" คนที่สอบได้ที่
๑เป็นลูกผู้อำนวย
การโรงเรียนที่ต้องการรับครู....ผมหมดหวังกับระบบการสอบแข่งขันตั้งแต่บัดนั้น
วกเข้ามาถึงเรื่องอุดมการณ์ของผม...อุตสาห์ลาออกจากงานตอนนั้นผมมีรายได้เฉลี่ยเดือน
ละ ๑๕,๐๐๐บาท (ปี ๔๐)
แต่ที่ลาออกเพราะผมต้องการจะเรียนเพื่อให้รู้อย่างถ่องแท้และพร้อม
ที่จะถ่ายทอด...แต่ผมวาสนาไม่ดี
มาบัดนี้คำพูดที่ว่า "ความรู้ท่วมหัว
เอาตัวไม่รอด"
เริ่มใกล้เคียงกับชีวิตผมแล้วยังจำคำพูด
ของเพื่อนสมัยเรียนรามและเพื่อนผมคนนั้นจะสมัครเป็นนายกองค์การนักศึกษา
"ถ้ามึงจะช่วยคนอื่น
มึงต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน"
ยังก้องอยู่ในโสตผมตลอดเวลา
เอาละ
ตอนนี้ผมยังมีพ่อแม่เลี้ยงดูอยู่บ้านไม่ต้องเช่าข้าวไม่ต้องซื้อแล้วแต่ว่าค่าใช้จ่ายของ
ผมที่ต้องรบกวนท่านตลอดระยะเวลา
๒-๓ ปีนี้
ทำให้ผมต้องกลับมาทบทวนอีกว่า "ผมจะทิ้ง
อุดมการณ์ของผมและทำเพื่อตัวเองและพ่อแม่บ้างจะดีไหม"
ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตาม
เงื่อนไขของสังคมดีกว่า
บางครั้งก็ถามตัวเองไม่ได้ว่า
"ท้อบ้างหรือเปล่า"
ท้อไปก็ไม่มีประโยชน์
สู้ทำดีกว่า หากใคร
ได้อ่าน "พระมหาชนก"ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่
ใจความตอน
หนึ่งที่ว่า
"บุคคลเมื่อกระทำความเพียร
แม้จะตายก็ชื่อว่าไม่เป็นหนี้ระหว่างหมู่ญาติ
เทวดา
และบิดามารดา อนึ่ง
บุคคลใดเมื่อทำกิจอย่างลูกผู้ชาย
ย่อมไม่เดือดร้อน"
นี่เองที่เป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจในการทำงานของผม
แม้วันนี้ผมจะอยู่กลางมหา
สมุทร และมองไม่เห็นฝั่งก็ตาม
แต่ผมก็เชื่อว่าสักวันผมจะต้องว่ายให้ถึงฝั่งฝัน
เป็นบุญของอย่างมหาศาลที่ได้เกิดใต้ร่มพระบารมีของพระองค์
เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินของเรา
ทรงงานอย่างหนักโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก
เพื่อพสกนิกรของพระองค์
หากผมจะยึดแนวทางของพระองค์ท่านเป็นแบบอย่างเพื่อช่วยยกระดับการศึกษาของคน
ในชาติเท่าที่ผมจะทำได้
ผมก็จะทำ
ได้ฟังปาฐกถาของ ฯพณฯ
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
อดีตนายกรัฐมนตรี
รัฐบุรุษและองคมนตรีใน
ปัจจุบันได้กล่าวถึงเรื่อง
"ตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน" แล้ว
ยิ่งสร้างแรงบันดาลใจมากยิ่งขึ้น
หากเรา
ทุกคนช่วยกันทำความดีเพื่อตอบแทนบุญคุณ
และเพื่อเป็นการสนองเบื้องพระยุคลบาท
เพียงคนละ ๑
ความดี
สังคมไทยก็คงจะสงบสุขมากว่านี้
ดังจะขออัญเชิญพระราชปรารภของในหลวงมาให้พวกเราได้อ่านกันอีก
ดังนี้
"ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์
ปัญญาที่เฉียบแหลม
กำลังกายที่สมบูรณ์"
สุดท้ายนี้แม้ผมจะไม่ได้ทำงานด้านการศึกษาจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่แต่ผมไม่อาจนิ่ง
เฉยอยู่ได้
และเว็บนี้อาจจะไม่ใช่เว็บเพื่อการศึกษาตามทฤษฎี
๑๐๐ % แต่ผมอยากจะพิสูจน์
ให้เห็นว่าหากเราตั้งใจทำสิ่งที่เรารัก
สักวันความสำเร็จก็จะปรากฏครับ
"ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดินครับ"
ด้วยจิตคารวะ
|