กลิ่นอายจากชายทุ่ง


"บ้านเกิด-เพื่อนเก่า...ฝันให้ไกล ไปให้ถึง"

พระมหาเจดีย์

วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๕ ที่ผ่านมา เพื่อนฝูงเก่าแก่ร่วมรุ่นสมัยเรียน
ตั้งแต่มัธยมต้น ได้ไปร่วมพิธีหล่อพระแบบโบราณ เพื่อหาทุนในการ
ก่อสร้างพระมหาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จสัมมา
สัมพุทธเจ้า ที่วัดพระเขาพนมดินอ.ท่าตูม จ.สุรินทร์

โต้โผใหญ่คือ นายแพทย์พงศธร  พอกเพิ่มดี หรือ "หมอก้อง" ที่ผมเคยเล่าให้ทราบมาก่อนหน้า

ปัจจุบัน "หมอก้อง" เพื่อนผมคนนี้ที่ร่ำเรียนมาตั้งแต่มัธยมต้นจนจบมัธยมปลายด้วยกัน กำลังศึกษาต่อ
ระดับปริญญาเอกอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และได้กลับมาเมืองไทยในระยะสั้นๆ 

หลวงปู่กับก้อง"ไม่ได้กลับมามือเปล่า แต่เอาบุญมาฝาก" มาครั้งนี้ก็ได้รวบรวม
เพื่อนสนิทหลายคนทำกิจกรรมเพื่อพุทธศาสนา โดยจัดพิธีหล่อพระ
เป็นเหรียญรูปของพระครูธรรมรังษี เจ้าอาวาสวัดเขาพนมดินเพื่อหา
รายได้สมทบค่าก่อสร้างพระมหาเจดีย์

 

จะเป็นเรื่องบังเอิญหรืออย่างไรมิทราบ เพื่อนที่ทำงานอยู่กรุงเทพก็ได้กลับมาบ้านพอดีในช่วงนี้

เช้าตรู่ของวันดังกล่าวฝนยังคงตกพรำๆ ซึ่งก็ตกมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว "กบ" เพื่อนซี้ตั้งแต่ชั้นเด็กเล็ก
เรียนด้วยกันตั้งแต่อายุ ๓ ขวบ จนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง  แวะมารับผมกับภรรยา
ที่บ้านพัก โดยมาพร้อมกับภรรยาซึ่งก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมของผมเอง และภรรยาของผมกับกบก็เป็น
เพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายของผมเอง

ปัจจุบันกบเปิดสำนักงานทนายความของตัวเองที่กรุงเทพฯ ตามความฝันใฝ่จนสำเร็จ

...

ฝนที่ตกมาตั้งแต่เมื่อคืนส่งผลให้น้ำท่วมในตัวเมืองสุรินทร์ในวันนั้น ระยะทางจากตัวเมืองไปอำเภอท่าตูม
ประมาณ ๕๐ ก.ม. 

และฝนยังคงตกอยู่ตลอดเส้นทาง

ไปถึงวัดราวๆ ๘ นาฬิกา พระได้ฉันภัตตาหารเช้าเสร็จพอดี เพื่อนๆ ฝ่ายที่เตรียมสำรับกับข้าวมาก็ต้อง
เปลี่ยนเป็นถวายเพลแทน

กำหนดการเททองหล่อพระนั้นเป็นช่วงเช้า ซึ่งเป็นการหล่อแบบโบราณ แต่เนื่องจากฝนฟ้าไม่เป็นใจใน
ตอนนี้ อีกทั้งการหลอมโลหะที่จะใช้หล่อยังไม่สุกได้ที่ กำหนดการก็เลยเปลี่ยนเป็นช่วงบ่ายแทน

โดยหลวงพ่อก็ได้เอ่ยปากกับญาติโยมแล้วว่า หล่อตอนเช้าคงไม่ได้เพราะอุปสรรคหลายอย่าง ช่วงบ่ายน่า
จะเป็นฤกษ์ที่เหมาะสม

พวกเราก็เลยอยู่ต่อกินข้าววัดตอนเที่ยง ... ฝนยังคงตกพรำๆ 

เมื่อได้ฤกษ์งามยามดี ... (เรื่องนี้ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ)

แสงแดดส่องลงมาพอดีฝนที่ตกพรำๆ ในช่วงเช้าขาดเม็ดไม่เหลือเค้า
ท้องฟ้าที่ครึ้มมาเปิดโล่งแสงอาทิตย์สาดส่องมายัง
บริเวณที่ทำพิธี

ช่วงนั้น "บักโป๋ย" เพื่อนอีกคนที่กำลังเดินทางมา
จากกรุงเทพฯ ก็โทรมาพอดี บอกว่าถึงสุรินทร์แล้ว
แต่คงไม่ได้แวะมาร่วมพิธี คงจะเลยไปบ้านที่ อ.รัตนบุรี

ผมก็ถามว่าที่ตัวเมืองสุรินทร์เป็นอย่างไรบ้าง ... น้ำยังคงท่วมอยู่และท้องฟ้ายังมืดครึ้มมันกำลังหาทางหนี
น้ำอยู่

... พวกเราก็ได้แต่คิดว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติและความบังเอิญที่ประจวบเหมาะมากกว่า

เททองพิธีเททองเป็นไปตามฤกษ์ และไม่มีอุปสรรคใดๆ ในช่วงที่เททอง
เบ้าแรกนั้น ภรรยาผมถอดตุ้มหูทองร่วมหล่อด้วย 

เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพิธีเททองหล่อพระแบบโบราณ ซึ่งปกติไม่ค่อย
ได้ทำกันบ่อยนัก เพราะขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร 

 

ช่างที่มาทำงานบอกว่าถ้าไม่ใช่หมอก้องก็คงไม่รับงานนี้ ทั้งนี้เนื่องจากทำงานกับหมอและคุณแม่ของหมอ
มาหลายหนแล้ว ก็เลยรับงานนี้ ซึ่งช่างเหล่านี้ต้องขนวัสดุ-อุปกรณ์มาจากกรุงเทพฯ เลยทีเดียว

เบ้าหลอมโลหะหลังจากเททองหล่อในเบ้าแรกแรก เบ้าต่อๆ ไปก็เป็นโลหะผสมเนื้อ
สีทอง เช่น พวกทองเหลือง

เคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับการหล่อพระในนิตยสาร บางครั้งเขาใช้ปลอก
กระสุนปืนที่เป็นทองเหลือง เพื่อใช้ในการหล่อพระทั้งองค์ใหญ่ องค์เล็ก

ผมเขียนบันทึกจากอ่านครั้งนั้นไว้ว่า "ข้างในใช้สังหาร แต่ข้างนอกใช้ทำให้คนบูชา"

 

กบกับก้อง

หมอเหล

หมอก้องกับหมอเรวัตร โชว์เหรียญที่เพิ่งออกจากเบ้าหลอม
(เพื่อนร่วมชั้นเรียนสมัย ม.๑-ม.๖)

ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีไม่มีอุปสรรค พวกเรารอจนกระทั่งช่างได้ทุบ
เบ้าหลอมแรกให้ดู ปรากฏว่าสมบูรณ์อย่างไม่มีที่ติ 

... ทางคณะได้นำถวายหลวงปู่ทั้งชุด

พิธีเสร็จสิ้นประมาณบ่าย ๓ โมง พวกเราก็แยกย้ายกับกลับ โดยมีนัด
กินข้าวเย็นกันในตัวเมืองสุรินทร์

ผมกับกบ (สวมเสื้อคอกลมสีขาวในภาพ) แยกตัวไปบ้านเพื่อนอีกคนที่ทำงานเป็นพยาบาลในอ.ท่าตูม ซึ่ง
บักโป๋ยที่ไปถึงรัตนบุรีแล้วก็จะแวะมาหาผมกับกบที่ท่าตูมและตามไปสมทบในเมืองทีหลัง

ผม,กบ และบักโป๋ย ... ใช้ชีวิตร่วมกันในกรุงเทพตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผมกับกบ
รับปริญญาตรีพร้อมกัน และผมมารับปริญญา (ใบที่ ๓) อีกครั้งพร้อมบักโป๋ยที่เรียน ๘ ปีเต็มกำหนด

โป๋ยกับโยขออนุญาตเท้าความกลับสู่อดีตนะครับ ผม
กับบักโป๋ยเคยมีฝันร่วมกันคล้ายๆ กันในเรื่อง
งานเขียน มันฝันใฝ่อยากจะเป็นผู้กำกับหนัง
อยากเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์ ทำนองนี้

ส่วนผมจะออกไปทางสิ่งพิมพ์มากกว่า แต่
ก็เป็นงานที่ไปด้วยกันได้

แต่เราทั้งสองไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียนใน
ศาสตร์แขนงนี้เลยในตอนนั้น

ตอนอยู่ที่รามคำแหง ผมหารายได้พิเศษด้วยการถ่ายภาพและขีดๆ เขียนๆ บ้างส่งไปตามนิตยสาร ส่วนบัก
โป๋ยพี่แกเล่นเขียนเรื่องสั้นแนวสนุกสนาน เคยได้ลงในขายหัวเราะบ้าง เคยได้เงินมา ๕๐๐ บาท หลังจาก
นั้นเขาก็เพิ่มค่าเรื่องเป็น ๑,๕๐๐ บาท ...  มันบ่นว่ากูน่าจะรออีกสักพักค่อยส่ง

บักโป๋ยเขียนเรื่องยาวในชีวิตครั้งแรกเมื่อจบ ม.๖ และมันให้ผมนี่แหละอ่านต้นฉบับเป็นคนแรก โดยเรื่อง
นั้นเป็นเรื่องราวของพวกเราเอง และก็ส่งผลให้บักโป๋ยคั่วอันดับผู้กำกับภาพยนตร์ในอนาคตอันใกล้นี้

ช่วงที่เรียนปี ๔ ผมกับมันถืองานของแต่ละคน เดินไปสมัครตามนิตยสาร โดยมีแนวคิดว่า "ผมถ่ายภาพ
มันเขียนเรื่อง"
... ไม่มีใครรับเราสักเจ้า

และบักโป๋ยก็ถือต้นฉบับที่มันเขียนไว้ตั้งแต่ปี ๓๐ นั่นแหละเป็นใบเบิกทางสู่วงการภาพยนตร์กระทั่งมีชื่อ
เสียงในวงการ และล่าสุดมันขายพล็อตหนังให้กับบริษัทรับทำภาพยนตร์แห่งหนึ่ง ได้เงินมาจำนวนไม่น้อย

ลืมบอกไปว่า บักโป๋ยจบสาขารัฐศาสตร์ที่ไม่เกี่ยวกับวงการบันเทิงเลย เคยทำงานกับบริษัทอาร์เอสฟิล์ม
บริษัทฟิล์มบางกอก ... เขียนบทภาพยนตร์มาก็หลายเรื่อง ส่วนใหญ่ได้กล่อง เช่น ฝันติดไฟหัวใจติดดิน ..
โคลนนิ่งคน ... 

ปัจจุบันทำงานเป็นผู้รับเขียนภาพยนตร์อิสระ

แต่เชื่อไหมครับว่าผมไม่เคยดูหนังที่มันเขียนเลย ... ฟังมันเล่าสนุกกว่า

หลังจากเรียนจบผมกับมันเคยคิดว่าจะไปอยู่เชียงใหม่สัก ๓  เดือนเพื่อทำงานเขียนแบบที่เราชอบ แต่ยัง
ไม่มีโอกาสสักที ... 

"ฝันให้ไกล ไปให้ถึง" เป็นข้อความในโปสการ์ดที่บักโป๋ยเคยส่งให้ผมเมื่อหลายปีก่อน แม้จะเป็นคำพูดที่
เชยๆ แต่เป็นแรงดลใจมหาศาลสำหรับคนมีความฝันและใฝ่

แต่ให้ให้ฝันและใฝ่ในทางดี

กบ ได้เปิดสำนักงานทนายความของตัวเองตามความฝัน

โป๋ย กำลังจะก้าวไปเป็นผู้กำกับหนังตามที่ปรารถนา

เพื่อนๆ หลายคนประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างที่ตนเองปรารถนา ... หลายคนกำลังแสวงหา

ผม ได้กลับมาอยู่บ้านเกิด ทำงานตามความฝันของตัวเอง

... บ้านเกิด ... เพื่อนเก่า ... กับความฝันที่เป็นจริง

ฝันให้ไกลไปให้ถึงครับ

ด้วยจิตคารวะ



คำ "ติ-ชม" ของท่านมีค่ามหาศาลต่อการพัฒนาเว็บไซต์ครับ

created by.
กระดานดำออนไลน์
730/4 Tassabarn 7 Rd. Tambol.Ra-ngang
Sikhoraphum District, Surin Province.Thailand 32110

email : jakrapog@hotmail.com 
๒ ตุลาคม ๒๕๔๘