หลายๆ ท่านอาจจะสงสัยว่า
เอ๊ะ
ไอ้หมอนี่มันมีโอกาสไปถึงสหรัฐอเมริกา
กะเงินเพียงเดือนละ ๕๐๐
บาท
ไม่มีปัญญาจ่ายเชียวหรือ
ช้าก่อนครับ
อย่างที่บอกแล้ว
ผมสานฝันจากดิน...หากได้ย้อนอ่านเรื่องราว
ที่ผมพร่ำบ่นนักหนานั่นแหละ
ก็คงจะรู้ที่มาที่ไปว่าเป็นอย่างไร
กับความฝันลมๆ
แล้งๆ
ในที่สุดมันก็เป็นความจริงครับ...กับคำสุภาษิตโบราณที่กล่าวไว้ว่า
"ความพยายามอยู่ที่ไหน
ความสำเร็จอยู่ที่นั่น"
(แต่ก็อย่าให้นานเกินไปนะครับ)
ทำให้ความพยายามครั้ง
ที่ ๒
ของผมก็ประสบความสำเร็จจนได้
ซึ่งมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ
เป็นเรื่องของบุญ
ของกรรม ที่พูดไปก็ยาก
จะเชื่อ แต่เอาเป็นว่า
ถ้าเราทำความดีมากๆ
สักวันผลกรรมดีนั้นก็จะกลับมาสนองเราเองครับ
ทันทีที่ประกาศผลว่าได้ไป
คนแรกที่ผมโทรไปบอกคือแม่
ที่เป็นครูบ้านนอก
อยู่ศีขรภูมิ
นั่นแหละครับ
คนต่อมาที่ผมแจ้งข่าวคือ
"น้องชายผม" เอเดรียน
โอไบรอัน อดีตเด็กชายชาวออสเตรเลีย
นักเรียนโครงการ
AFS
และได้พำนักพักอาศัยที่บ้านผมเมื่อปี
๒๕๓๑
และเมื่อเอเดรียนกลับประเทศเพียง
๔ เดือน น้องชาย
แท้ๆ ของผม "จักรพันธ์
เจือจันทร์" ก็เสียชีวิต
เอเดรียนก็เปรียบเสมือนน้องชายแท้ๆ
ของผมเลย
และหลังจากกลับไปแล้ว
เอเดรียนก็ได้มาเรียนต่อในสาขาภาษาไทยที่มหาวิทยาลัยศิลปากร
นครปฐม
ช่วงหนึ่ง
ทำให้ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องระหว่างเราเน้นแฟ้นยิ่งขึ้น
ปี ๒๕๔๐
เอเดรียนแต่งงานที่ซิดนีย์
ก็ได้เชิญทางครอบครัวเราไป
โดยผมกับพ่อก็ได้มีโอกาสไปต่าง
ประเทศครั้งแรกก็ตอนนั้นแหละ
โดยเอ (ชื่อเล่น)
ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
ท่านทั้งหลายครับ
ครั้งนั้นเป็นงานแต่งงานที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียและของวอลล์
ดิสนีย์เลยละครับ
เพราะเป็นการแต่งงานในโรงละคร
ที่ต้องทำเรื่องขออนุญาตไปที่สหรัฐอเมริกาก่อน
เพราะไม่เคยมีใครทำอย่างนี้มาก่อน
และที่สำคัญ ทางวอลล์
ดิสนีย์
อนุญาตให้เป็นคู่แรกและคู่เดียวในโลก
บุญพา
วาสนาส่ง...ผมมีโอกาสได้ล่องเรือฉลองพิธีแต่งงานในอ่าวซิดนีย์...
ปี ๒๕๔๑-๒๕๔๒
เอเดรียน
มีโอกาสมาทำงานที่ประเทศไทย
และพักอยู่แถวๆ
โรงแรมเอราวัณ ใกล้ๆ
กับที่ผมพัก
แต่ความเป็นอยู่ต่างกันราวฟ้ากับดิน...ปี
๔๑ ผมก็สอบไปสหรัฐฯ
แต่สอบตก และปี ๔๒ เอ ย้าย
ไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย
ทันทีที่ผมส่ง
mail
ไปให้เอในตอนเที่ยงของวันประกาศผล
เอตอบกลับมาภายใน ๒
ชั่วโมง...และค่าใช้จ่าย
ทั้งหมดในการไปสหรัฐครั้งนี้
เอ
เป็นคนออกให้ทุกบาททุกสตางค์
โดยไม่มีกำหนดในการจ่ายคืน....
ก็คงนานพอสมควรละครับท่าน...เมื่อวานนี้เพื่อนอีกคนที่สุรินทร์ก็โทรมาทวงเงิน...โอ๊ย...แต่เราก็บอกว่า
ยังไม่มี...ก็จะทำให้ทำยังไงละครับ
มันไม่มีจริงๆ ใสช่วงนี้
แต่ว่าภายในปี ๒๕๔๔
ผมคงปลดหนี้ได้ทั้งหมด
และนั่นก็หมายความว่า
ผมได้อิสรภาพกลับมาอีกครั้ง
แต่หนี้ที่สำคัญที่สุดนี่สิครับ...ผมยังเรียนไม่จบเสียที
และเหลือเวลาอีกไม่ถึง ๓
เดือน...บางทีก็นั่งนึกว่า
ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย...แต่พอนึกย้อนหลังกลับไป
ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป
เป็นเหตุเป็นผลรองรับซึ่ง
กันและกัน
ทำให้ผมได้มายืนตรงจุดนี้...
ยังไงผมก็ต้องพยายามเอาให้มันจบจนได้ละน่า...ถ้างั้นตอนนี้
ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ
แล้วจะมา
เล่าให้ฟังอีกครับ
เรื่องในอเมริกากับสิ่งที่ผ่านมาพอๆ
กับนิยายเลยละครับ... |