นายภาคภูมิ อินทร์แป้น เป็นบุตรสุดท้อง จากพี่น้อง ๓ คน ของพ่อเคือย
และแม่เฝือย อินทร์แป้น อยู่บ้านเลขที่ ๘๙ หมู่ ๑๒ บ้านโดนเลงใต้ ต.ทมอ
อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ปัจจุบันอายุ ๓๘
ปี
หลังจบการศึกษาภาคบังคับในสมัยนั้น
ภาคภูมิได้ออกมาช่วยครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรมซึ่งตนเองได้ช่วยทำตั้งแต่อยู่ชั้นประถม
๔ กระทั่งอายุได้ ๒๗ ปี ได้ไปรับจ้างใช้แรงงานอยู่ในกรุงเทพมหานคร
ด้วยการเป็นกรรมกรก่อสร้างสถานีวิทยุ-โทรทัศน์ ช่อง ๑๑
กรมประชาสัมพันธ์ ย่านเพชรบุรีตัดใหม่
เป็นกรรมก่อสร้างได้ประมาณ ๗-๘ เดือน
เมื่อถึงฤดูทำนาก็กลับมาช่วยครอบครัว
หลังจากเก็บเกี่ยวก็ได้เข้าเมืองหลวงอีก
คราวนี้ไปอยู่โรงงานหล่อกระทะไฟฟ้า ทำได้ ๒ เดือน
ก็เปลี่ยนไปทำงานที่โรงงานปั่นด้าย อยู่แถวบางพลี
โดยไปพักอยู่กับพี่สาว
ครั้งนี้อยู่รวมได้ ๑ ปี ก็ได้กลับมาบ้านอีกครั้ง
มุ่งสู่วิถีเกษตรกรรม
การที่ได้ช่วยครอบครัวทำนามาตั้งแต่อยู่ ป.๔ ในช่วงเสาร์-อาทิตย์
หรือปิดเทอม ก็วนเวียนอยู่กับสังคมเกษตรกรรมมาโดยตลอด ทำให้ซึบซับรับเอาสิ่งเหล่านี้เข้าไปในตัว
และมีความต้องการที่จะสานต่ออาชีพของบรรพบุรุษต่อไป
แรกเริ่มเดิมทีนั้น
ครอบครัวของภาคภูมิก็ทำนาเชิงเดี่ยวและใช้สารเคมีเช่นเดียวกับพี่น้องเกษตรกรโดยทั่วไป
กระทั่งพบว่ายิ่งทำต้นทุนก็ไม่มีลด
รายได้ที่คาดว่าจะได้ก็ไม่เป็นไปอย่างที่หวังไว้
หนำซ้ำสุขภาพยังย่ำแย่ลงอีกด้วย
และสิ่งที่ทำให้ภาคภูมิวิตกจนไม่อยากจะใช้สารเคมี
เนื่องจากมีเพื่อนเกษตรกรด้วยกัน ล้มป่วยจนถึงกับเสียสติ
โดยหาสาเหตุไม่เจอ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาตรวจและเจาะเลือด
ก็พบว่าเพื่อนเกษตรกรคนนั้นได้รับสารพิษจากปุ๋ยเคมีเกินขนาด
เมื่อได้รักษาอาการตามขั้นตอนแล้วก็กลับหายเป็นปกติ
จากนั้นเป็นต้นมา ภาคภูมิก็ไม่มีความคิดที่หันไปใช้สารเคมีอีกเลย
อยากกินอะไรก็ปลูก
เมื่อหลุดพ้นจากวงจรของสารเคมีแล้ว ภาคภูมิมีแนวคิดว่า
อยากกินอะไรที่ปลอดภัยก็ปลูกสิ่งนั้น
นอกจากจะเป็นการลดต้นทุนการผลิตแล้ว ยังส่งให้ถึงสุขภาพที่ดีด้วย
จึงเริ่มปลูกพืชผักสวนครัว รั้วกินได้ เป็นต้นมา
ปี ๒๕๔๔ ภาคภูมิได้เข้าร่วมโครงการนำร่องฯ
จากการที่ได้ทำเกษตรกรรมแบบผสมผสานโดยยึดหลักธรรมชาติมาก่อนหน้าแล้ว
ทำให้ได้พบแนวคิด ทฤษฎีใหม่ๆ เช่น ระบบการจัดการแปลง, การผลิตปุ๋ย,
ระบบการจัดการน้ำ ฯลฯ นอกจากความรู้ทางวิชาการที่ได้รับแล้ว
การสนับสนุนปัจจัยการผลิตก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ภาคภูมิได้รับ
สำหรับเป็นทุนรอนในการดำเนินงาน
การทัศนศึกษาดูงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนเกษตรกรต่างกลุ่ม
ทำให้โลกทัศน์ของการทำงานกว้างขึ้น
ภาคภูมิก็ได้นำสิ่งที่เห็นมาปรับประยุกต์ให้เหมาะสมกับแปลงของตน
อย่างไรก็ดี ภาคภูมิกล่าวว่าการทัศนศึกษาดูงานนั้น
ใช่ว่าทุกคนจะได้ประโยชน์เสมอไป
ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความสนใจใฝ่รู้ของแต่บุคคลด้วย
หากใครสนใจที่จะเรียนรู้ก็จะได้สิ่งที่ต้องการ แต่บางคนก็คิดว่าการทัศนศึกษาคือการไปเที่ยว
คนนั้นก็จะได้แค่ไปเที่ยวเท่านั้น
ภาคภูมิ ถือครองที่ดินทำกินจำนวน ๓ แปลง มีอยู่อาศัย ๑ ไร่
พื้นที่ที่เข้าโครงการ ๑๒ ไร่ พื้นที่ทำนาอินทรีย์ ๑๘ ไร่
รวมพื้นที่ทั้งหมด ๓๑ไร่
ทุกแปลงที่ทำการเกษตรนั้น ภาคภูมิใช้ปุ๋ยพืชสดที่ทำขึ้นเป็นส่วนใหญ่
นอกจากจะเป็นการลดต้นทุนการผลิตแล้ว
ผลผลิตที่ได้ยังมีปริมาณเป็นที่น่าพอใจและขายได้ราคาอีกด้วย
ทั้งยังสามารถ
เพิ่มรายได้จากขายเมล็ดพันธุ์จากพืชที่ปลูกคลุมดินจากพืชจำพวกถั่วได้อีกทางหนึ่ง
ประการสำคัญคือ คุณภาพของดินที่เสื่อมเสริมจากการใช้ปุ๋ยเคมีในระยะแรกๆ
นั้น กลับฟื้นคืนสู่สภาพธรรมชาติ อย่างที่มันควรจะเป็น
นอกจากผลผลิตด้านพืชพรรณแล้ว
ในแปลงของภาคภูมิยังได้รับการส่งเสริมเรื่องแหล่งน้ำไว้ใช้สำหรับพืชผักที่ปลูกในแปลงเกษตร
มีทั้งพืชผักสวนครัว และไม้ผล อาทิ มะพร้าว ฝรั่ง มะม่วง
โดยปลูกไว้ตลอดแนวคันนา และยังเป็นแหล่งโปรตีนทางธรรมชาติอีกด้วย
นอกนั้นก็เป็นโรงเรือนเลี้ยงวัว เลี้ยงเป็ด ไก่
ส่วนที่สำหรับพักอาศัยอยู่บริเวณด้านหน้าของแปลง
ปัจจุบันภาคภูมิมีความพึงพอใจกับวิถีชีวิตที่เลือกแล้ว
กับปณิธานที่ตั้งไว้อยากกินอะไรก็ปลูกสิ่งนั้น
ทุกวันก็เป็นรูปธรรมชัดเจน พืชผักสวนครัวทั้งหลาย ไม่ต้องไปซื้อหา
แถมยังมีเหลือไว้ขายในตลาดนัดสีเขียวสำหรับคนที่ต้องการบริโภคผักปลอดสารพิษ
ภาคภูมิกล่าวว่า ถ้าเราขยัน เราก็มีกินตลอด
|