สัปดาห์ก่อนมีโอกาสได้นั่งกินข้าวกัีบเพื่อนที่เรียนมัธยมปลายห้องเดียวกัีนและไปเรียนที่มหาิวิทยาลัย
รามคำแหงด้วยกัน เพื่อนคนนี้เรียนจบคณะนิติศาสตร์
ปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ปกครองระดับ ๗ หรือปลัด
อำเภอนั่นแหละ
เพื่อนผมถามว่า "มึงทำอะไรอยู่ตอนนี้
เพราะมีคนถามกู กูก็บอกมันไม่ได้"
ผมบอกว่า "กูรับจ้างสอนอยู่
เป็นลูกจ้างชั่วคราว"
อาชีพของผม ก็ยังคงเป็นแบบที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า
"Free lance" พวกรับจ้างอิสระ และฐานะตอนนี้
ก็คือเป็นลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งอาจารย์พนักงาน
ในสถาบันอุดมศึกษาท้องถิ่น สอนวิชาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการใ้ช้โปรแกรมพื้นฐาน
เป็นงานที่อยู่ภายใต้ระบบราชการ สัญญา
๑ ปี สิ้นสุดสัญญาเดือนตุลาคมปีนี้ละครับ
ถือว่าได้มาทำงานวิชาการอย่างเต็มที่อีกครั้งหนึ่ง
โดยไม่รอช้า ผมไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไป
เข้าไปไม่ทันไร ผมได้เสนองานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนา
e-learning โดยใช้ Moodle และก็ผ่านการพิจารณา ได้งบประมาณมาก้อนหนึ่ง
พอถูๆ ไถๆ ทำไปได้
ส่วนค่าตอบแทนที่ผมได้รับในการเป็นลูกจ้างครั้งนี้ พอๆ
กับที่ผมเคยได้รับเมื่อจบปริญญาตรีใหม่ๆ เมื่อปี ๒๕๓๖
สาระสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนี้
แต่อยู่ตรงที่ผมได้ทำอะไรมากกว่า
ผมถือว่า
เป็นอะไรไม่เท่ากับว่าทำอะไร ยกตัวอย่างเช่น
บางคนมีตำแหน่งแห่งหนใหญ่โต
แต่ไม่ค่อยได้ทำอะไรให้สมกับฐานะ ผลาญภาษีของชาวบ้านไปวันๆ
มิตรรักแฟนเว็บก็ได้ทราบสถานะของผมแล้วนะครับ
ไม่ปิดบังอะไร เพราะไม่ได้ทำอะไรเสียหาย
วันพุธที่ผ่านมา (๓๑ พ.ค.)
ผมต้องเข้ารับการตรวจเช็คอาการอีกครั้งที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด
โดยเพื่อนผมที่เป็นนายแพทย์อยู่ที่นี่ ใครที่เคยเป็นโรคกระเพาะและเคยผ่านการส่องกล้องเข้าไปในระบบทางเดินอาหารคงพอจะทราบเหตุการณ์ว่าเป็นเช่นไร
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒ ของผม
อธิบายให้ทราบพอคร่าวๆ
ลองนึกถึงสายยางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ เซนติเมตร ยาวเกือบ
๑ เมตร
ที่ปลายของสายยางมีกล้องวีดิทัศน์ที่เรียกว่า Endoscope
และมีหลอดไฟเล็กๆ
วิธีการก็คือสอดสายยางดังกล่าว
เข้าไปทางปาก
ช่วงที่ทรมานที่สุดก็คือตอนที่สายยางผ่านลำคอสู่หลอดอาหารซึ่งผมต้องกลืนท่อนี้เข้าไปให้ได้
พอผ่านช่วงนี้ไปได้ ก็จะเข้าสู่กระเพาะ
ซึ่งก็จะเห็นว่าข้างในกระเพาะเป็นอย่างไร
เจ็บจนน้ำตาไหลละครับ
ยิ่งตอนที่หมุนกล้องเพื่อดูให้ัทั่วกระเพาะ
พอพบสาเหตุคือการอักเสบของกระเพาะ
เพื่อนหมอของผมก็บอกให้ผมเงยหน้าดูในจอมอนิเตอร์
ทำให้เห็นสาเหตุเบื้องต้นที่ผมทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดท้องมานานนับปี
คนที่เป็นโรคกระเพาะก็เหมือนกับคนไม่มีวินัยในการกินอาหาร
เมื่อก่อนผมกินไม่ค่อยตรงเวลา ยิ่งมาทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แล้ว
มีกาแฟ ๑ แก้ว กว่าจะได้กินข้าวเช้าก็ปาเข้าไป ๕
โมงเช้าหรือควบมื้อเที่ยงเลยก็มี
อีกทั้งเมื่อก่อนผมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถี่มากถือได้ว่าวันเว้นวัน
หากเฉลี่ยเป็นขวดเบียร์แล้วก็ตกวันละ ๑ ขวดเป็นอย่างน้อย
๒ ปีที่ผ่านมานี้
ผมหยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคิดว่าจะหยุดดื่มตลอดไป
เพราะคิดๆ ไปมันไม่ได้สาระประโยชน์อะไรให้กับชีวิตเลย
เสียเวลาอีกต่างหาก และย้อนกลับไปเมื่อ ๕ ปีที่แล้ว
ผมก็สูบบุหรี่จัดมากตกวันละ ๑ ซอง
ทุกวันนี้เลิกได้เด็ดขาดแล้ว
เพื่อนผมที่เคยสูบบุหรี่ก็เลิกได้หลายคน
นึกย้อนวันเวลาที่ผ่านไป
นี่กระมังที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพผมในทุกวันนี้ ...
สมน้ำหน้าตัวเอง
ในระหว่างที่รอหมอและรอรับยาภายในโรงพยาบาล คนไข้เยอะมาก
สาเหตุหนึ่งที่มีคนไข้มาโรงพยาบาลมากก็เนื่องจากเหตุผลหลักๆ
ในความเห็นของผมประการแรกคือสุขภาพคนย่ำแย่กว่าเมื่อก่อน
จากเหตุปัจจัยที่คนสร้างขึ้นมาเอง
และอีกประการหนึ่งมาจากนโยบาย ๓๐ บาท รักษาทุกโรค
ไม่ว่าคนไข้จะมาโรงพยาบาลด้วยสาเหตุใดก็ตาม การเ้ข้าออกโรงพยาลหลายครั้งหลายหนของผม
ทำให้นึกถึุงองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ และพระองค์ได้เสด็จออกมาพบเห็นสัจธรรมของชีวิต
นั่นคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ชีวิตมนุษย์มีแต่ความว่างเปล่าจริงๆ
ผมรู้สึกสงสารและสมเพช คนที่แก่งแย่งชิงดีิ ชิงเด่น
แย่งอำนาจวาสนากันอยู่ทุกวันนี้ ทั้งๆ
ที่ส่วนใหญ่ก็นับถือพุทธศาสนาแต่ได้หาเอามาปฏิบัติไม่
....
วันนี้ (๒ มิ.ย) เพื่อนหมอที่ตรวจรักษา
ชวนไปกินอาหารเที่ยง พร้อมๆ
กับเพื่อนสมัยเรียนมัธยมต้นด้วยกัน ไปกัน ๕ คน ๓
คนจบคณะแพทย์ฯ จากจุฬาฯ พวกนี้เรียนด้วยกันตั้งแต่ปี ๒๕๒๔
จนถึงปี ๒๕๓๖ หลัีงจากจบก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
สุดท้ายก็กลับมารวมกันอยู่ที่บ้านเกิด
ส่วนอีกคนประกอบธุรกิจส่วนตัว
โดยปกติพวกเราก็จะนัดกินข้าวกันเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละครั้ง
แต่ครั้งนี้พิเศษตรงที่มีเพื่อนอีกคนที่เป็นหมอ
เพิ่งย้ายกลับมาจากโรงพยาบาลจังหวัดยะลา
หลัีงจากไปใช้ทุนอยู่ที่นั่นได้ ๑ ปี
ส่วนเพื่อนหมออีกคนก็ที่ผมกล่าวถึงบ่อยๆ จบหมอไม่พอ
ยังไปเรียนต่อถึงปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษ ก็กลับมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลอำเภอในจังหวัดสุรินทร์นี่แหละครับ
เป็นบรรยากาศบ้านเกิด เพื่อนเก่าที่อบอุ่น
และพวกเราก็ได้ร่วมกันทำกิจกรรมที่เป็นสาธารณกุศลเป็นครั้งคราว
หากใครได้อ่าน
"บ้านเกิดเพื่อนเก่า"
ก็คงพอจะนึกออก
อ้อ...ลืมไป เมื่้อกลางเดือน
เพื่อนซี้ของผม "บักโป๋ย" แวะมานอนที่บ้านผม ๑ คืน
ก่อนจะซมซานกลับไปนั่งเขียนบทภาพยนตร์อยู่ที่บ้าน
เป็นความสุขของมันที่ได้ "ทำอะไร" ที่มันอยากจะทำ
เฉกเช่นเดียวกับผม ที่มีแนวคิดว่า
เป็นอะไรไม่สำคัญเท่ากับทำอะไร
ก็ได้แต่คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวมบ้าง
มีคนถามว่า ได้อะไรจากการทำเว็บ
มีรายได้หรือเปล่า ผมไม่ได้รายได้อะไรจากการทำเว็บหรอกครับ
แต่ที่มากกว่ารายได้ก็คือ "ความสุขที่ผมได้ทำในสิ่งที่อยากทำ"
และเห็นผู้เข้ามาชมเว็บผมมีความสุขและรอยยิ้มกลับออกไป
ผมก็มีึความสุขแล้ว
ฝันเล็กๆ อีกอย่างหนึ่งคือ หากผมเรียนจบปริญญาเอกแล้ว
ผมจะกลับไปนั่งเขียนหนังสืออยู่บ้านชายทุ่งของผม
ด้วยจิตคารวะ
กระดานดำออนไลน์ |