นายปฎิพัทธ์ จำมี กับเส้นทางเศรษฐกิจพอเพียง

 

“...พอมีพอกิน ก็แปลว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง
ถ้าแต่ละคนมีพอกินก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าประเทศมีพอกินยิ่งดี...”

(พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)

นายปฎิพัทธ์ จำมี เกษตรกรวัย ๓๕ ปีจากบ้านเปรียง ตำบลสำโรง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ยึดถือแนวพระราชดำริที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้แก่พสกนิกรของพระองค์

“เศรษฐกิจพอเพียง”

หลังจากจบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๖ ปฏิพัทธ์ได้บรรพชาเป็นสามเณรเพื่อศึกษาเล่าเรียน ภายใต้ร่มกาสาวพัตร์เป็นเวลา ๓ ปี ก่อนจะลาสิกขาออกมาช่วยครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรม

วิถีชีวิตของปฏิพัทธ์วนเวียนอยู่ในท้องไร่ท้องนามาโดยตลอด และหนีไม่พ้นสูตรสำเร็จของชีวิตเกษตรกรจากภาคอีสานโดยทั่วไป คือหมดฤดูทำนาก็มุ่งหน้าสู่เมืองใหญ่

ในช่วงหนึ่งของชีวิต ปฎิพัทธ์เคยไปเป็นคนงานก่อสร้างอยู่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี, และยังเคยไปทำขนม, เป็นเด็กปั๊มน้ำมัน อยู่ในกรุงเทพฯ เหล่านี้คือประสบการณ์ในช่วงหนึ่งของชีวิต

ปี พ.ศ.๒๕๓๙ ปฎิพัทธ์ได้ประสบเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางชีวิตอีกครั้ง เมื่อมาเป็นทำงานเป็นกรรมกรที่กรุงเทพฯ กลับถูกคนรู้จักมักคุ้นโกงค่าแรง ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีกับสังคมเมือง ที่ผู้คนคอยเอารัดเอาเปรียบกันอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งคนกันเองยังทำกันได้ลงคอ

ครั้งนั้น ปฎิพัทธ์ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะหันมายึดอาชีพเกษตรกรอยู่ยังบ้านเกิดของตัวเอง ที่จังหวัดสุรินทร์

ปฏิพัทธ์ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับสมัชชาคนจนเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๐ โดยเป็นตัวแทนเกษตรกรจากจังหวัดสุรินทร์ โดยได้เข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มองค์กรเรื่อยมา และมุ่งมั่นพัฒนาเส้นทางอาชีพเกษตรกรให้ก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ

อย่างไรก็ดี ในช่วงแรกของการทำเกษตรกรรมนั้น เขายังคงใช้ปัจจัยการผลิตจากภายนอกจำพวกปุ๋ยและสารเคมีเพื่อเพิ่มผลผลิต

การที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมบ่อยครั้ง รวมทั้งการทัศนศึกษาดูงานยังสถานที่ต่างๆ ทำให้ปฎิพัทธ์ได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนเกษตรกรด้วยกัน ถึงแนวทางการจัดการแปลง และการเพิ่มผลผลิต ซึ่งได้แนวทางมาจากทฤษฎีเกษตรพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานไว้

“..มีพอที่จะใช้ ไม่ต้องไปขอยืมคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง.. เป็นไปตามที่เค้าเรียกว่ายืนบนขาของตัวเอง...แต่ว่าพอเพียงนี้ มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอ ก็พอเพียงนี้ก็พอแค่นั้นเอง คนเราถ้าพอใจในความต้องการมันก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนผู้อื่นน้อย..”

ปฎิพัทธ์ ได้เริ่มปฏิบัติตามขั้นตอนทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยผืนที่ นาที่เคยทำเกษตรเชิงเดี่ยว คือปลูกข้าวอย่างเดียว จำนวน ๑๒ ไร่ ถูกแบ่งสันปันส่วนดังนี้

พื้นที่จำนวน ๒ ไร่ ส่วนหนึ่งได้ทำการขุดสระสำหรับเก็บกักน้ำไว้ใช้ตลอดทั้งปี รวมถึงเป็นแหล่งอาหารสำหรับครอบครัว โดยมีปลาหลากชนิดอยู่ในสระ นอกจากนี้ ยังมีแปลงสำหรับปลูกพืชผักสวนครัวอยู่รอบๆ สระ เช่นหอม กระเทียม ถั่วฟักยาว พริก มะเขือ ฯลฯ ซึ่งเป็นพืชสวนครัวพื้นฐานที่ไม่จำเป็นต้องซื้อหามาบริโภค ทั้งยังมีไม้ผลอื่นๆ อาทิ มะพร้าว ฝรั่ง มะกอกน้ำ กล้วย มะละกอ ฯลฯ เป็นต้น

ส่วนพื้นที่อีก ๑๐ ไร่นั้น ใช้สำหรับปลูกข้าวปลอดสารเคมี ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการบริโภคในแต่ละปี และยังเหลือผลผลิตไว้ขายได้ราคาที่สูงกว่าข้าวที่ปลูกด้วยการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี

การพัฒนาผลผลิตในแปลงนั้นปฎิพัทธ์ พึ่งพาปัจจัยจากภายนอกน้อยมาก โดยเฉพาะปุ๋ยเคมีและสารเคมีต่างๆ นั้น เขาไม่ได้นำมาใช้เลย

เมื่อหมดฤดูทำนา หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิต ผืนนาก็ไม่ถูกทิ้งร้างว่างเปล่า ได้ถูกแปรสภาพเป็นไร่ถั่วพร้า เพื่อสร้างความชุ่มชื้นและรักษาสภาพดินไว้ และเมื่อถั่วพร้าโตเต็มที่ ก็เก็บผลผลิตนำขาย ส่วนลำต้นนั้นก็ถูกไถกลบกลายเป็นปุ๋ยพืชสดสำหรับปลูกข้าวในปีถัดไป

เส้นทางเกษตรกรของปฎิพัทธ์ เป็นเส้นทางที่ดูเหมือนจะสวนกระแสกับคนหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน
หากแต่ว่าเป็นเส้นทางที่เขาคิดว่ามั่นคงยิ่งนักหากเลือกเดินเส้นทางนี้ และยึดเอาแนวพระราชดำริขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่ตั้ง

การพัฒนา เศรษฐกิจแบบพอเพียง สำหรับเกษตรกรนั้น มีการปฏิบัติตามขั้นตอนทฤษฎีใหม่ ซึ่งประกอบด้วย ๓ ขั้นตอน คือ

๑.ผลิตเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือน ในระดับชีวิตที่ประหยัด ทั้งนี้ต้องมีความสามัคคีในท้องถิ่น

๒.รวมกลุ่มเพื่อการผลิต การตลาด ความเป็นอยู่ สวัสดิการ การศึกษา สังคม และศาสนา ๓ ร่วมมือกับองค์กรภายนอกในการทำธุรกิจแลพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งนี้ทุกฝ่ายต้องได้ผลประโยชน์

ทุกวันนี้ ปฎิพัทธ์และครอบครัวไม่ต้องพึ่งพาอาหารจากภายนอกมากนัก เพราะผลผลิตที่ได้จากการลงมือปฏิบัตินั้นสามารถหมุนเวียนเป็นอาหารได้ตลอดทั้งปี เว้นเสียแต่ว่าต้องการบริโภคอาหารที่แปลกต่างไปบ้างในบางครั้งคราว

นอกจากนี้แล้ว ปฎิพัทธ์ยังเข้าร่วมกับกลุ่มเกษตรกรที่ยึดแนวทางพระราชดำริเกษตรพอเพียงและการทำนาข้าวปลอดสารเคมี มีการพบปะเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้อยู่เป็นนิจ

ประการสำคัญคือ เขาได้เป็นตัวแทนของกลุ่มเกษตรในจังหวัดสุรินทร์ ที่เข้าร่วมกับกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อเรียนรู้เทคนิคและวิธีการใหม่ๆ ทางวิชาการเพื่อพัฒนาและเพิ่มผลผลิตให้กับตนเอง และนำความรู้มาถ่ายทอดให้กับเพื่อนเกษตรกรด้วยกัน เช่น การทำปุ๋ยหมัก การทำน้ำหมักชีวภาพ การเผาถ่านโดยใช้ถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร และการทำน้ำส้มควันสำหรับใช้กับแปลงพืชผักสวนครัวและไม้ผล ทำให้ลดต้นทุนการผลิตลงไปได้มาก

ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ปฎิพัทธ์ยังมีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเกษตรเพื่อนบ้านต่างประเทศยังประเทศมาเลเซียอีกด้วย

จากการที่ได้ลงมือทำในรูปแบบพึ่งตนเองให้มากที่สุด และตั้งใจไว้ว่า อยากให้ผืนนาของตัวเองเป็นป่าให้ร่มเงาเวลาเดินดูผลผลิต และคืนความชุ่มชื้นให้กับธรรมชาติ และวันนี้ผลผลิตที่ได้มากกว่ารายจ่ายที่ออกไป นั่นหมายถึงการมีเงินเก็บ โดยไม่ต้องออกไปใช้แรงงานข้างนอก ดังเช่นที่หลายคนเป็นอยู่
เหล่านี้ ล้วนเกิดจากความตั้งใจ ความทุ่มเทให้กับอาชีพเกษตรกรและยึดแนวทางพระราชดำริ เกษตรทฤษฎีใหม่และเศรษฐกิจแบบพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ล้นเกล้าฯ ของชาวไทย
แม้เส้นทางยังอีกยาวไกล และด้วยวัย ๓๕ ปี กับพื้นที่เพียง ๑๒ ไร่ ปฎิพัทธ์ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หากตั้งใจย่อมประสบผลสำเร็จแน่นอน.

 

 

ตัวอย่างเกษตรกรในจังหวัดสุรินทร์
ที่ยึดแนวพระราชดำริ "เศรษฐกิจพอเพียง"

สุวรรณ  กันภัย
สุวรรณ  กันภัย
ฉบับปรับปรุง
ผ่านการเข้ารอบสารคดี
รายการคนค้นฅน

• สุข  ทองอ้ม
• ทองมา  เปรียบยิ่ง
• ภาคภูมิ  อินทร์แป้น
• โบตั๋น  แสนมี
• นันทา  หายทุกข์
• ดาด  พันธุ์พงษ์

Homepage


คำ "ติ-ชม" ของท่านมีค่ามหาศาลต่อการพัฒนาเว็บไซต์ครับ

created by.
กระดานดำออนไลน์
730/4 Tassabarn 7 Rd. Tambol.Ra-ngang
Sikhoraphum District, Surin Province.Thailand 32110

email : jakrapog@hotmail.com 
กันยายน ๒๕๔๘